ลงโฆษณาเฟสบุ๊ค (facebook) วันละเท่าไรจึงจะเหมาะสม

ลงโฆษณาเฟสบุ๊ค(facebook) วันละเท่าไรจึงจะเหมาะสม

ในการทำธุรกิจนั้น ปัจจัยหนึ่งสำคัญประการหนึ่งคือ การวางแผนการตลาด ซึ่งเกี่ยวพันมาถึงว่าควรใช้งบประมาณเท่าไหร่เพื่อให้เกิด “ความคุ้มค่า” มากที่สุด โดยปัจจุบันต้องยอมรับว่าการตลาดออนไลน์ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อผู้บริโภค หรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในหลายๆธุรกิจ จึงเป็นคำถามตามมาว่า

“ควรลงโฆษณา Facebook วันละกี่บาทดี ?”

ซึ่งเราอาจได้รับคำตอบ หลากหลายเช่น

  • “ลงโฆษณาเดือนละ 50,000 บาท ยอดขายเพิ่มเป็น 200,000 บาท”
  • “ลงโฆษณาวันละ 100 บาท ก็ได้ยอดเขาเพิ่มมา 3 เท่าแล้ว”
  • “ลงโฆษณา วันละ 1,000 บาทไม่เห็นมียอดขายเพิ่มเลย”
  • “ลงโฆษณา วันละ 500 บาทมีลูกค้ามาที่ร้านมากขึ้น แต่เข้ามาดูๆแล้วก็ไม่ซื้อ”

ซึ่งในทุกๆความเห็นล้วนเป็นความเห็นจากประสบการณ์โดยตรงของเจ้าของธุรกิจนั้น ดังนั้น คำถามที่ว่า “ควรลงโฆษณา Facebook วันละกี่บาทดี?” นั้นจึงเป็นประเด็นว่าเราควรเชื่อ “คำตอบ” จากใครดี?

ในความเป็นจริงนั้นก่อนจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่าเราควรลงโฆษณา Facebook เท่าไหร่นั้นเราควรจะพิจารณาและวิเคราะห์ไปถึงปัจจัยหลายๆด้านที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน

  1. วัตถุประสงค์ในการโฆษณา Facebook

เนื่องจากการลงโฆษณา Facebook ในแต่ละวัตถุประสงค์นั้น มีการกระบวนการทำงานหรือการส่งโฆษณาที่แตกต่างกัน ทำให้มีการประเมินและวัดผลความคุ้มค่าที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนที่เราจะลงโฆษณา Facebook นั้นควรวางแผนเริ่มต้นจาก “วัตถุประสงค์ “ ในการลงโฆษณา Facebook  ก่อน

โดยในการกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อลงโฆษณาใน Facebook นั้น ปัจจุบันสามารถกำหนดได้มากถึง 11 รูปแบบ

รายละเอียดวัตถุประสงค์ในการลงโฆษณาบน Facebook >> คลิก

ซึ่งจะขอยกตัวอย่างวัตถุประสงค์หลักๆ 3 แบบ

  • การเข้าถึง หรือการเน้นยอด Reach เพื่อสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) ซึ่งจะเน้นปริมาณคนเห็นโฆษณา เพื่อให้เกิดการรับรู้ในแบรนด์ ดังนั้นการลงโฆษณา ประเภทนี้จึงไม่ได้เน้นการสร้างยอดขายโดยตรง ดังนั้นการวัดผลเพื่อประเมินความคุ้มค่ากับงบโฆษณาจึงต้องวัดจากยอดการเข้าถึงโฆษณาของเราเป็นหลัก เช่น

กรณี A ลงโฆษณา Facebook วันละ 100 บาท แล้วทำให้มีการเข้าถึง Reach ของคนเห็นโฆษณา 10,000 คน เพื่อสร้างการรับรู้ และส่งผลทำให้มีผู้ซื้อสินค้าและสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นวันละ 500 บาท

กรณี B ลงโฆษณา Facebook วันละ 100 บาท แล้วทำให้มีการเข้าถึง Reach ของคนเห็นโฆษณา 20,000 คน เพื่อสร้างการรับรู้ และส่งผลทำให้มีผู้ซื้อสินค้าและสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นวันละ 100 บาท

การวัดผลและความคุ้มค่า: แม้ว่ากรณี A จะสร้างยอดขายเพิ่ม แต่ในกรณีนี้ถือว่าการลงโฆษณาแบบกรณี B ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าคือเข้าถึงคนมากกว่า เนื่องจากการสร้างการรับรู้นั้น เราไม่ได้คาดหวังให้เป็นการสร้างยอดขายโดยตรง แต่เพียงเพื่อต้องการสื่อสารข้อมูลบางอย่างไปยังกลุ่มลูกเค้าให้รู้จักเรา การสร้างยอดขายจึงเป็นผลพลอยได้

 

  • การมีส่วนร่วม หรือ Engagement โดยเน้นการมีส่วนร่วม เช่น การมี Comment, Like, Share เพื่อต้องการให้กลุ่มเป้าหมายมีปฏิสัมพันธ์กับเรามากขึ้น เช่น กด Like, Share, Comment ซึ่งจะเป็นตัววัดว่า กลุ่มเป้าหมาย “มีความสนใจในสินค้าและบริการ” ของเรามากแค่ไหน รวมถึงวัด “ภาพลักษณ์ ” ของสินค้าหรือแม้แต่ตัวโฆษณาว่า มีความน่าสนใจเพียงใดด้วย ซึ่งจะวัดผลต่างจากการขึ้นโฆษณาในรูปแบบการสร้างการรับรู้ข้างต้น ดังนั้นหากมีลูกค้ามาปฏิสัมพันธ์ในโฆษณาเรามากจึงถือได้ว่า สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้ไป

 

  • เน้นจำนวนผู้เข้าชม คือการที่ส่งคนเข้าไป “ชม” หรือส่งต่อให้มีปฏิสัมพันธ์ใน Facebook Inbox, เว็บไซต์ หรือแม้แต่ Line@ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตั้งค่าในการทำโฆษณา เพื่อให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลสินค้า รายละเอียดสินค้าเป็นการส่วนตัว ซึ่งจะแตกต่างจากการโฆษณาแบบการมีส่วนร่วมทั่ว ที่ลูกค้าเข้ามาปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบสาธารณะ ซึ่งการโฆษณาลักษณะนี้จะสะท้อนให้เห็นว่าเรามีลูกค้าที่จะกลายเป็นกลุ่มที่ มีความสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกระดับคือ เริ่มต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเป็นการส่วนตัว เพื่อนำมาประกอบการ “ตัดสินใจ “ก่อนที่จะ “ซื้อสินค้าและบริการ “ ดังนั้นก็จะสามารถวัดผลได้จากยอดขาย

นอกจากนี้การขึ้นโฆษณาลักษณะนี้ยังสามารถวัดผลตัวสินค้าและราคาสินค้าได้ด้วย อาทิเช่น หากมีคนสนใจเข้ามาสอบถามจากการโฆษณาใน Facebook จำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มเท่าที่ควร อาจจะต้องมองกลับมาว่า ที่ลูกค้าสนใจแต่ “ตัดสินใจไม่ซื้อ ” นั้นมีผลมาจากสินค้าและบริการเราหรือไม่ อาทิเช่น ราคาสูงไป คุณภาพสินค้ายังไม่ดีพอเมื่อเทียบกับสินค้าคู่แข่ง เป็นต้น

โดยในธุรกิจอื่นๆนั้น นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ที่มีการสั่งซื้อขายบนโลกออนไลน์ อาจใช้วัตถุประสงค์การโฆษณาในรูปแบบอื่นๆได้ด้วย เช่น การหยิบสินค้าลงตะกร้า การกดสั่งซื้อ เราอาจจะใช้โฆษณาในรูปแบบ “คอนเวอชั่น ” เป็นตัววัดผลโฆษณาในการเพิ่มยอดขาย

 

  1. ลักษณะธุรกิจ

เนื่องจากในแต่ละธุรกิจมีลักษณะและพฤติกรรมเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนั้นการวัดความคุ้มค่าในการโฆษณา ในธุรกิจที่แตกต่างกันจะไม่สามารถวัดผลได้โดยตรงจากหลายปัจจัยดังนี้

  • ขนาดตลาดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในแต่ละธุรกิจก็จะมีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

ธุรกิจอสังหาฯ หรือการทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่จังหวัด เชียงใหม่ ขนาดประชากรกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่(แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) ก็จะเป็นประชากร อายุประมาณ 25 – 55 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือกลุ่มคนต่างพื้นที่ที่เข้าไปทำธุรกิจหรือทำงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหากเทียบกับ

ธุรกิจขายเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง ซึ่งเป็นสินค้าจัดส่งทั่วประเทศ ทำให้ขนาดตลาดกลุ่มเป้าหมายเป็น ผู้หญิง อายุประมาณ 15 – 40 ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ทั่วประเทศ จึงจะเห็นได้ว่าขนาดตลาดมีจำนวนใหญ่กว่าธุรกิจโครงการบ้านจัดสรรมาก

ดังนั้นงบประมาณในการลงโฆษณาเพื่อส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายจึงใช้งบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

  • การวัดผลความคุ้มค่าจากการทำกำไร หลังจากลงโฆษณาใน Facebook เนื่องจากในแต่ละธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรที่แตกต่างกัน อาทิเช่น

ในธุรกิจอสังหาฯนั้นการขายบ้าน 1 หลังมูลค่า 2,000,000 บาท อาจทำกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท

ในขณะที่ธุรกิจขายเสื้อผ้าแฟชั่นราคาตัวละ 200 บาทอาจทำกำไรได้ 20 บาท แต่เนื่องจากมีขนาดตลาดที่ใหญ่และกว้างกว่า ส่งผลทำให้มีปริมาณในการสั่งซื้อได้จำนวนที่มากกว่า

ดังนั้นการใช้งบโฆษณาของธุรกิจเสื้อผ้าอาจจะต้องใช้งบโฆษณา Facebook ที่สูงกว่าเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กว้างและใหญ่กว่า

อนึ่ง งบโฆษณา Facebook นั้นไม่รวมงบของการทำ Ads ซึ่งรวมไปถึงงานออกแบบ งาน Production เพื่อให้ได้รูปแบบโฆษณาที่ดีที่สุด ซึ่งในธุรกิจอสังหาฯส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญและวางแผนค่าใช้จ่ายสำหรับงบในด้านนี้สูงกว่าธุรกิจเสื้อผ้า

 

ดังนั้นหาก “ขนาดของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” มีขนาดไม่ใหญ่มาก การเพิ่มงบโฆษณาใน Facebook ก็อาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบลัพธ์หรือยอดขายได้สูงขึ้น จากการเพิ่มงบโฆษณาได้

 

  • คู่แข่งในธุรกิจ บางธุรกิจที่ให้ความสำคัญในการทำตลาดออนไลน์สูง โดยเฉพาะการโฆษณาใน Facebook ทำให้มีการแข่งขันสูงในการแย่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มเดียวกัน อาทิเช่น กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ความสวยความงาม ธุรกิจเสื้อผ้า ธุรกิจท่องเที่ยว ที่มีการแข่งขันสูงจึงต้องใช้งบโฆษณาสูงตามไปด้วยเพื่อให้ได้ผลตอบรับหรือยอดขายที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับการใช้เงินลงโฆษณาในธุรกิจอื่นๆ
  • ช่วงเวลาในการโปรโมท ยกตัวอย่างธุรกิจขายเครื่องปรับอากาศ กับ ธุรกิจขายเสื้อกันฝน การใช้งบโฆษณาในแต่ละช่วงเวลาย่อมได้ผลตอบรับที่แตกต่างกัน การลงโฆษณาธุรกิจเครื่องปรับอากาศจะได้ผลตอบรับดีในช่วงเดือนเมษาหรือหน้าร้อน แต่ธุรกิจขายเสื้อกันฝนจะลงโฆษณาและได้ผลตอบรับหรือความคุ้มค่าของการลงโฆษณาดีกว่าในช่วงฤดูฝน ดังนั้น งบในการลงโฆษณาในแต่ละวัน ควรต้องพิจารณาถึงลักษณะธุรกิจนั้นๆด้วยว่า ลงโฆษณาช่วงใดถึงจะได้ผลที่คุ้มค่ากว่ากัน

 

จะเห็นได้ว่า การวัดผลว่า ควรลงโฆษณา Facebook วันละเท่าไหร่ นั้น ไม่สามารถนำ ผลลัพธ์จากลงงบโฆษณาของลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน หรือ การตั้งวัตถุประสงค์ของโฆษณาที่แตกต่างมาเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจาก กระบวนการทำงานของ Facebook และรายละเอียดสินค้าและบริการของแต่ละธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกัน

ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาและนำมาวัดผล จึงควรพิจารณาว่า เงินลงทุนที่ใช้โฆษณาใน Facebook ในธุรกิจของเรานั้น ได้สร้างผลตอบแทนหรือยอดขายมาได้ตามที่คาดหวังไหม” จำนวนเงินในการลงโฆษณาวันละ 100, 500, 1,000 บาท จึงไม่ใช่บทสรุป หรือคำตอบของการโฆษณาบน Facebook หากแต่เป็นการวัดผลเพื่อหา ความคุ้มค่า ของจำนวนเงินที่ลงในโฆษณา Facebook ต่างหากที่เราควรให้ความสำคัญ

– บทความโดย –
ทีมงาน จริงใจดี ดิจิตอล ซูโลชั่น
Digital Agency ด้านอสังหาฯ ของไทย